Friday, September 19, 2008

เข้าครัวกันนิดนึง

ยามขยันคือขี้เกียจทำอย่างอื่น เลยโพสต์อย่างเมามัน

ไอ้แพร์สองลูกนี่เห็นแล้วก็ขำ เลยถ่ายรูปซะเลย จริงๆ พวกมันอยู่ในตะกร้าผลไม้แหละ นอนแอ้งแม๊งอยู่หลายวันแล้ว อีพ่อก็คอยบอก ปอกให้ลูกกินหน่อยนะ ลูกชอบทั้งสองตัว เราก็ เออๆๆ แล้วก็ลืม พอวันนั้นตื่นมา พ่อมันไปทำงานแล้ว แต่เอาไอ้แพร์สองลูกมาเกาะเค้าน์เต้อร์ครัวไว้ ให้มันเตะตาโครมๆ ไม่เอาให้ลูกกินไม่ได้แล้ว 55555 เห็นแล้วสงสาร เหมือนมันเกาะขอบไว้ กลัวว่าเดี๋ยวมันตกขอบนั่นตาย 55555

 
ดอกไม้จาก “ที่เลิ้บ” ซึ่งเคยเกริ่นเม๊าไว้ที่
My World ว่า อย่าไปคาดหวัง “ดอกกุดาบ” วันวาเลนไทน์ จากฝามีของอิชั้น เพราะช่วงนั้นไม่ว่ากุหลาบหรือดอกไม้ไหนๆ ก็แพงระยับ แต่อีตาคนนี้ซื้อดอกไม้ให้ทั้งปี พอเลิกงานดึกๆ แล้วต้องแวะซื้อนม ซื้อไข่ ซื้ออาหาร และไปเห็นดอกไม้ลดราคาก็จะรีบลากมาฝากเสมอๆ ก็น่ารักน่าชังแบบนี้แหละ

อันนี้เป็นขนมครกสิงคโปร์ที่อยากกินมากๆ อาฆาตมานาน พอได้สูตร ไปลากซื้อใบเตยแช่แข็งมา เครื่องครบก็เริ่มลงมือ ผลออกมาเหมือน แพนเค้กรสใบเตย ผิดหวังสุด จากที่คอยหยอดใส่เบ้าหนมครกรัสเซีย (โด่งก็ไม่โด่ง โด่ก็ไม่โด่ อย่างที่หวังใจไว้) เสียเวลา เจ็บใจ เลยราดใส่พิมพ์ว๊าฟเฟิ่ลให้มันรู้แล้วรู้แร่ด จบๆ ไป คราวหน้าเอาใหม่ เพราะใบเตยเหลือเยอะ ใช้แป้งข้าวจ้าวแทนแป้งเค้ก จะได้เด้งๆ โด่ๆ หนึบๆ แล้วจะรายงานผล


Chapino แบบไทยๆ หรือแบบอู๋ๆ ดูกันเอาเอง ซีฟู้ดส์ซุปสไตล์อิตาเลี่ยน กลายเป็นซึฟู้ดส์อบวุ้นเส้น 5555 เริ่มด้วยเอาวุ้นเส้นแห้งๆ 1 ห่อ ปาลงไปในถ้วย แกะชาพิโน่โฟรสเซ่น ปาลงไป เติมน้ำ ครึ่งถ้วย โยนถ้วยใส่เตาไมโครเวฟ 3 นาที เอามาคนๆ หน่อยนึง โยนเข้าไปคืนอบต่อไปอีก 3-5 นาที ดูว่ากุ้งหอยปลาปูสุกดี เป็นว่าลากออกมารับทานได้ ไม่ต้องมีเฟร้นช์เบรดเพราะวุ้นเส้นนุ่มอร่อย อิ่มไปหนึ่งมื้อค่ะ

เชสต์นัทก๊วนนี้ แช่แข็งมาปีกว่าๆ แล้ว นึกอยากก็เอาออกมาต้ม 20 นาที ก็พอกินขัดให้หายอยากเกาลัดไปได้บ้างนิ้ดดดดดด...นึง (แค่นั้น) เกาลัดต้องซื้อเป็นฤดู ปีนึงซื้อได้ไม่กี่เดือน พอหนาวๆ ตุลา พฤศจิกา ก็ต้องรีบสั่งจากฟาร์มทางอินเตอร์เน็ท สั่งทุกปีแหละ พอใกล้ๆ เวลา เค้าก็จะส่งโปสการ์ดมาเตือน ถ้าเลยไปถึงมกรา ก็อด หมดกัน มีแต่แบบแห้งแกะเปลือก เค้าเอาไว้ทำอาหาร ขนมนมเนยกัน น่าเอามาห่อบ๊ะจ่าง 55555 ตะกละอยากกิน พูดเหมือนทำเป็นเลย ส่วนไอ้นัทพวนี้พอซื้อมา ลูกใหญ่ ลูกเล็ก ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปตามขนาด ชอบขนาดกลางๆ ซื้อทีก็ 5-6 ปอนด์ๆ ละ 4-5 เหรียญ ก็เอามาแบ่งๆ ใส่ถุงเล็กๆ ซีลสูญญากาศ แช่แข็งเก็บไว้ได้เป็นปี พออยากก็เอามาหุงหาทำกินตามแต่จะนึกออก ไอ้วิธีต้ม 20 นาที เพื่อนเกาหลีสอนมา เคยผ่ากากบาทแล้วอบในเตาอบ อบในเตาติ๊ง หรือผ่าแล้วปิ้งในเตาผิงไฟก็เคย ไม่เวิร์คค่ะ ต้มแล้วดีกว่าแต่ไม่เริ่ดเหมือนคั่วด้วยเม็ดกาแฟที่เมืองไทย แต่เอาเถอะนะ “ดีกว่าไม้ดีดปาก” 555555

มีดชุดใหม่ ราคาแพงระยับ สวามีซื้อให้ ไอ้ที่อยากได้ก็ดันไม่ซื้อให้ "เป๋าลุ๋ย" ใบที่เล็งไว้เงี๊ยะ ไอ้ที่ไม่อยากได้ดันซื้อให้ แถมหย่อนพันอยู่ไม่กี่สตางค์ คนขายก็คุยๆ คมแท้ๆ คมเหลือเกิน ดีเด่น พิเศษ เริ่ดกว่ายี่ห้อเลื่องชื่อ ตุ๊กตาคู่ของเยอรมัน ตอนมาสาธิตก็แบบ แหมดีจังวุ๊ย แต่ไม่คิดหรอกว่าจะซื้อเพราะมันแพงเกินไป อีก๊อตก็แบบ ....ยู โปรเฟสชั่นแนลเชฟ มีใบเซอร์รับประกัน ควรจะมีอาวุธคู่กายแบบสมเกียรติหน่อย ดันออเด้อร์ชุดใหญ่ไป พอของมาส่งเปิดกล่อง “เอ๋อ” เลย โมโหน่ะ ชอบน่ะชอบ แต่ไม่อยากได้ เพราะมันแพง เราก็นึกว่าแค่ยอมให้มันเข้าบ้านมาสาธิต ทนดูมัน เดี๋ยวมันก็ได้ตังค์นิดๆ หน่อยๆ จากบริษัทมีดนั่น ลืมบอกไป ไอ้เด็กที่ขายมีดน่ะ รู้จักันดี ลูกสาวของเพื่อนสนิทน่ะ เด็กคอลเลจหารายได้พิเศษ ไม่งั้นไม่ให้มันเข้าบ้านร๊อกกกก....

คาลบี้ จ้ะ คาลบี้ ของญี่ปุ่นต้นตำรับ ถุงละ 1.99 ลูกๆ ชอบกิน แต่ชอบแบบธรรมดานะ ส่วนวาซาบิสีเขียวนั่น เพิ่งลองซื้อมากินเป็นครั้งแรก ไม่ไหวจริงๆ เผ็ดๆๆๆๆๆ คุณแม่ยังรับไม่ไหว ไม่ซื้ออีกแล้วแบบวาซาบิ เข็ด เวลาไปซื้อหนูดีชอบบอก “ม๊าม่ะ” อยากกินซีฟู้ด 555555 คือรสกุ้งไง ถือว่ากินซีฟู้ดส์แบบประหยัดแล้วกันนะลูก 555555

เซียนกุนเชียง

วันนี้ขอทำตัวเป็นเซียนกุนเชียง เนื่องจากมีเพื่อนรักเพื่อนเกลอย้ายรกรากมาอยู่ร่วมประเทศแต่เป็นฝั่งนอร์ธอีสต์ แล้วเราต่างก็เป็นบิ๊กแฟนของคุณกุนเชียงเค้า ก็ได้แต่ไล่ล่าหายี่ห้อที่อร่อยถูกปากเฉกเช่นที่เคยลิ้มรสตอนอยู่ที่เมืองไทย หลายปีผ่านมา ลองมาหลายยี่ห้อ ก็พบว่ายี่ห้อ “แช้มป์“ อร่อยสุดๆ และผลิตโคยคนไทย แถมเขายังลืออีกว่าต้นตำหรับเป็น “รอยั่ล-เซเลบ“ เสียด้วย ไม่รู้ว่าจริงหรือป่าว เอาเป็นว่า อาร้อยยยยย….อาหร่อย

ส่วนตัวแล้วชอบเหวยกุนเชียงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตอนนี้ก็มาปลูกฝั่งให้สาวก (ลูกๆ) หลงไหลคลั่งไคล้ในกุนเชียงเหมือนแม่ ก็เลยต้องมีติดบ้านไว้เสมอๆ ส่วนวิธีการทำให้สุก ก็ทำอยู่ 2 วิธี คือทอด กับ อบในเตาติ๊ง (เตาติ๊ง คือ เตาอบไฟฟ้าขนาดเล็กถึงจิ๋ว-เมื่อหมดเวลาที่ตั้งไว้มันจะส่งเสียงดัง “ติ๊ง“ กระจ่างป๊ะ 5555)


ดูสารรูปเตาติ๊ง (ศพ) อันเก่า กับ อันใหม่ที่เพิ่งลากมาเสียก่อน คือ จะเอาเตาไว้ใช้นอกบ้าน ไว้อบสารพัดตามชอบ ไม่ต้องกลัวกลิ่น ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้บ้านร้อน ราคาย่อมเยา เหม็นขี้หน้าหรือสกปรกเกินทำใจก็จับโยนทิ้งไป จริงๆ แล้วมีอีกหนึ่งอันจิ๋วมากๆ เอาไว้ในบ้าน ไว้อบโทสต์หรืออุ่นพิซซ่า ไม่ชอบอุ่นอาหารบางจำพวกในเตาไมโครเวฟ ส่วนเตาปิ้งหนมปังก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากปิ้งหนมปัง สู้เตาติ๊งไม่ได้เลย ส่วนเตาอบใหญ่ ก็ไว้อบเค้ก อบอะไรที่เป็นการใหญ่ แต่หน้าร้อนจะหลีกเลี่ยง เพราะมันทำให้บ้านร้อนมากๆ ไม่ชอบเลย


เริ่มด้วยการอบกุนเชียงในเตาติ๊ง
1) หั่นครึ่งตามยาวตลอดแนว
2) บั้งด้านนอก (โค้งๆ น่ะ) ห่างๆ ถี่ๆ ตามชอบ โดยไม่ต้องให้ลึกมากนัก เหตุที่ต้องบั้งก็เพราะ ถ้าเอาเข้าอบเลยโดยไม่บั้ง ท่านก็จะงอ โง้ง โก่ง โค้ง นอกจากไม่สวยงามแล้ว อาจทำให้ไหม้เกรียมในส่วนที่โก่งโค้งเป็นเขากระบือนั่นได้
3) เอาด้านแบนวางลงบนถาด
4) อบ อบ อบ จนดัง “ติ๊ง“
เสร็จพิธีนำออกมาทานกับ ข้าวสุก ข้าวสวย ข้าวต้ม ข้าวเหนียวตามชอบ อยากหั่นเป็นคำๆ ก็เชิญตามชอบ แบบนี้เอาไปยำก็ดีนะ…สิบอกไห่ (แต่ตัวเองไม่ชอบยำกุนเชียง-แล้วเจือกแนะนำ คือชอบทานเพียวๆ 55555)

วิธีที่ 2 คือ ทอดกุนเชียงด้วยน้ำ
1) หั่นกุนเชียงเป็นแว่นๆ หนาบางตามชอบ
2) เอาฝูงกุนเชียงที่หั่นแล้วโยนลงในกะทะ เติมน้ำพอท่วม
3) ต้มให้น้ำงวดลงเรื่อย หมั่นคนเป็นระยะ
4) พอน้ำงวด ก็ต้องคนอย่างแข็งขัน เบาไฟลงนิดหน่อย
5) คนจนเห็นว่างวดได้ที่จะเห็นจาก น้ำมันและความหวานจากกุนเชียงที่ออกมา ก็จะเคลือบกุนเชียงจนมันแผล่บ สวยงามและอร่อยมาก…ขอบอกกกกก…